มาตรการภาษีการจัดตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Centre: IBC)
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการจัดตั้งศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Centre: IBC) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและสอดรับกับแนวปฏิบัติของ Inclusive Framework on BEPS เป็นโครงการป้องกันการถูกกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนกำไรไปต่างประเทศ (Base Erosion and Profit Shifting: BEPS) โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) มีแผนการปฏิบัติการที่น่าสนใจและประเทศไทยได้ให้ความสนใจและศึกษาเพื่อหามาตรการจัดเก็บภาษี โดยเฉพาะการโอนกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
มาตรการภาษีการจัดตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Centre: IBC) มาตรการภาษีการจัดตั้งศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ IBC เป็นมาตรการที่นำมาใช้เพื่อทดแทนสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ ROH1, ROH2 และ IHQ
สาระสำคัญของมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มีดังนี้
1.มาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarters: ROH1) ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อไปถึงรอบระยะเวลาบัญชีปี 2563 และให้ค่าสิทธิที่ ROH1 ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ซึ่งการจดแจ้งรายใหม่ ROH1 ได้ยุติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561
2.มาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarters: ROH2) ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อไปจนครบระยะเวลา 10 หรือ 15 รอบระยะเวลาบัญชี ตามกฎหมาย ROH2 และให้ค่าสิทธิที่ ROH2 ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ซึ่งการจดแจ้งราย ROH2 ได้ยุติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2558
3.มาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters: IHQ) ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อไปจนครบระยะเวลา 15 รอบระยะเวลาบัญชีตามกฎหมาย IHQ ซึ่งการอนุมัติรายใหม่ได้ยุติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561
4.มาตรการภาษีเกี่ยวกับบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Center: ITC) ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อไปจนครบระยะเวลา 15 รอบระยะเวลาบัญชีตามกฎหมาย ITC ซึ่งการอนุมัติรายใหม่ได้ยุติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561
มาตรการทางภาษีของ IBC มีดังนี้
1.ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรายได้จากการให้บริการหรือการบริหารเงินแก่วิสาหกิจในเครือในประเทศและในต่างประเทศ และค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือในประเทศและในต่างประเทศ เหลือร้อยละ 8 หรือ 5 หรือ 3 ของกำไรสุทธิตามรายจ่ายในประเทศไทย 60 ล้านบาท หรือ 300 ล้านบาท หรือ 600 ล้านบาท แล้วแต่กรณี
2.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินปันผลที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือในประเทศและต่างประเทศ
3.ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับรายรับจากการบริหารเงินแก่วิสาหกิจในเครือในประเทศและต่างประเทศ
4.ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งทำงานประจำ IBC เหลือร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน
5.ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศที่มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย สำหรับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยที่ได้รับจาก IBC
สิทธิประโยชน์ทางภาษี IBC จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด มีดังนี้
- มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
- มีรายจ่ายในประเทศอย่างน้อย 60 ล้านบาท (ROH1, ROH2 และ IHQ ที่เปลี่ยนแปลงเป็น IBC ไม่ต้องใช้เงื่อนไขรายจ่ายของ IBC โดยใช้เงื่อนไขรายจ่ายของ ROH1, ROH2 และ IHQ เดิม)
- มีพนักงานอย่างน้อย 10 คน (กรณีมีเฉพาะการบริหารเงินแก่วิสาหกิจในเครือ มีพนักงานอย่างน้อย 5 คน)
การปรับมาตรการภาษีเกี่ยวกับสำนักงานใหญ่และมาตรการภาษีใหม่ข้างต้น จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในการให้ความร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อการจัดเก็บภาษีอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และต่อต้านการกัดกร่อนฐานภาษีและการโยกย้ายกำไร
2,997 total views, 2 views today